นำเรื่อง
พบกับการเดินทางอีกครั้งหนึ่งของกระต่ายใน“เที่ยวสุพรรณฯ
ฉบับครอบครัวกระต่าย” ฉบับนี้ห่างจากการเดินทางไหว้พระ 9 วัดเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ในโอกาสที่ครอบครัวกระต่ายได้ออกเดินทางท่องเที่ยวพร้อมเพรียงกัน
ซึ่งมีโอกาสเพียงนานๆ ครั้งเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็อบอุ่น
และอบอวลไปด้วยไอรักที่มิอาจลืมเลือน
จุดเริ่มต้น
แม่ชวนพวกเราทั้งครอบครัว
ไปทำบุญบ้านพี่ฝนเพื่อนรุ่นน้องของแม่ที่สุพรรณบุรี หลังช่วงปีใหม่ วันที่ 4-5
ม.ค. 2557 ซึ่งทุกคนไม่มีใครปฏิเสธ คณะเดินทางของเรามี พ่อ แม่ กระต่าย ไก่โต้ง
และการ์ตูน เรา 5 คน เดินทางไปด้วยกันโดยมีไก่โต้งเป็นพลขับ
เราเดินทางออกจากจังหวัดฉะเชิงเทรามุ่งสู่สุพรรณบุรีในเช้าวันที่ 4 ม.ค. 2557 เวลา
7.00 น.
4
ม.ค. 2557
บ้านพี่ฝนที่เราเดินทางไปทำบุญอยู่อำเภอบางปลาม้า
จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งสามารถเดินทางถึงก่อนที่จะเข้าสู่ตัวอำเภอเมืองสุพรรณบุรี
เข้าทางถนนด้านข้างโรงเรียนบรรหาร-แจ่มใส 2 เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ทาสีม่วงอ่อนๆ สดใส
เมื่อเราเดินทางมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่ฝน และครอบครัว
เมื่อได้เวลาพระมาถึงทางเจ้าภาพก็ชักชวน
บรรดาแขกที่มางานซึ่งอันที่จริงส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว
ยกเว้นก็แต่ครอบครัวของเรา และเพื่อนๆ ของลูกหลานเจ้าภาพเท่านั้น ขึ้นไปบนชั้น 2
ของบ้านเพื่อฟังพระสวดมนต์ มีการถวายผ้าไตรจีวรแด่พระสงฆ์
ซึ่งพระสงฆ์เมื่อได้รับผ้าแล้ว ก็ลุกขึ้นครองจีวรใหม่ทันที
ซึ่งเป็นประเพณีที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ผู้ถวายได้อิ่มบุญกันโดยทั่วหน้า
พระสงฆ์ครองจีวรใหม่
หลังจากพระสวดมนต์จนเสร็จทางเจ้าภาพก็ลำเลียงภัตตาหารสำหรับถวายแด่พระสงฆ์ขึ้นมาที่ชั้นบน
ประกอบไปด้วยอาหารมากมายหลายชนิด และที่สำคัญคือมีขนมมากมายหลายอย่างทำให้กระต่ายรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
ภัตตาหารซึ่งมีขนมหวานมากมายหลายอย่าง
หลังจากที่พระฉันเสร็จ
ก็ได้เวลาที่ฆราวาสจะได้ทานอาหารกันบ้าง หลังจากรับพร และรดน้ำมนต์เรียบร้อย
พวกเราก็ทยอยกันลงมาที่โต๊ะตัวใหญ่ด้านล่างซึ่งทางเจ้าภาพจัดไว้ให้เป็นพิเศษ
และจัดสำรับกับข้าวไว้ให้อย่างครบครัน มื้อนี้เราจึงอิ่มหมีพีมันกันน่าดู
เนื่องจากมื้อเช้าเรากินอาหารเบาๆ คือกะหรี่ปั๊บ กับกาแฟ เท่านั้น
เสร็จจากบ้านงาน
เราออกเดินทางเข้าสู่อำเภอเมือง โดยเลือกที่จะเข้าพักผ่อนที่โรงแรมกันก่อน
ซึ่งกระต่ายได้จองโรงแรมไว้ล่วงหน้าก่อนเดินทาง 2 วัน และได้ทราบจากพนักงานว่าห้องพักค่อนข้างเต็มเนื่องจากตรงกับช่วงที่มีกีฬาแห่งชาติ
ครั้งที่ 42 “สุพรรณบุรีเกมส์” ในวันที่ 5-15 ม.ค. 2557
เฉียดฉิวเพียงวันเดียวกับคืนที่เราจองห้องพัก
เมื่อมาถึง “โรงแรมคุ้มสุพรรณ”
เรารับกุญแจห้องที่ล๊อบบี้โรงแรม ห้อง 6039 และ 6041 แล้วขึ้นไปพักผ่อนกันทันที
เพราะพ่อ กับแม่ซึ่งเดินทางมาจากระยองตั้งแต่เช้ามืด ค่อนข้างจะเหนื่อยกันพอสมควร
พอถึงเตียงนอนก็หลับกันเงียบกริบไปจนถึง 3 โมงเย็น
กระต่ายวางแผนไว้ว่าช่วงบ่ายวันนี้เราจะเที่ยวชม
“อุทยานมังกร” ซึ่งอยู่ที่เดียวกันกับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
ในอินเตอร์เน็ตบอกเวลาเข้าชม 10.00-16.00 น.
เราจึงรีบเดินทางโดยด่วนเพราะเกรงจะเกินเวลา
เมื่อเดินทางมาถึงกระต่ายเห็นมังกรขนาดยักษ์สีสันสวยงาม
ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างแบบจีนที่รายล้อมอยู่รอบบริเวณ ไก่โต้งพาเราอ้อมมายังบริเวนที่จอดรถ
แล้วจึงเดินเข้าทางอุทยานมังกร ซึ่งมีร้านค้าสร้างเหมือนในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน
แต่เรายังไม่ให้ความสนใจ เนื่องจากเวลามีน้อยจึงรีบเข้าไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกันก่อน
พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร
กระต่ายเดินผ่านกังหันน้ำ
ซึ่งตีน้ำเป็นละอองฝอยเย็นฉ่ำ และมีควันจางๆ ลอยขึ้นมา ในใจก็นึกนิยมคุณบรรหารที่ช่างมีความคิดอันเยี่ยมยอดในการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมาประดับบ้านเกิดเมืองนอนได้ดีขนาดนี้
จากกังหันน้ำกระต่ายเดินเลี้ยวไปทางซ้ายจึงมองเห็นรูปปั้นมังกรแบบเต็มๆ
ตัว ดูสวยงามสมสัดส่วนข้างใต้มังกรมีพิพิธภัณฑ์ ชื่อว่า
“พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร” พวกเราเดินเข้าไปไหว้ศาลหลักเมืองกันก่อน
เราซื้อธูปหอม 1 ห่อ เทียนสีแดง 1 คู่ และกล้วยไม้ 1 กำ นำมาไหว้รวมกัน
อันที่จริงธูปหอมหนึ่งห่อ ทางศาลเจ้าให้ใช้ปักในกระถางธูปตามจำนวนที่กำหนด
โดยกระถางธูปแต่ละใบติดตัวเลขลำดับ และจำนวนธูปที่จะปักไว้ให้ทราบ
เมื่อไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกันเรียบร้อย
เราก็เดินชมบริเวณด้านข้าง ซึ่งมีรูปปั้น 12 นักษัตร
เราจึงผลัดกันถ่ายภาพคู่กับนักษัตรของแต่ละคน พ่อ กับแม่ เกิดปีฉลู
จึงถ่ายภาพคู่กับรูปปั้นวัวตั้งแต่หัวแถว โต้งกับตูนถ่ายภาพคู่กับแพะ
เพราะเกิดปีมะแม ส่วนกระต่ายเกิดปีมะเมียอยู่คนเดียวจึงถ่ายภาพคู่กับรูปปั้นม้า
คนปีวัว
เราเตร็ดเตร่ถ่ายรูปได้ซักพัก
ก็ได้ยินเสียงประกาศเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร
แม่เห็นว่าน่าสนใจดี จึงไปซื้อตั๋วที่ตู้จำหน่ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ สนนราคาใบละ
299 บาท ให้กับพวกเราทั้งหมด
จากนั้นก็เข้าไปด้านในตัวอาคารซึ่งเป็นฐานของรูปปั้นมังกรเพื่อรอเข้าชมด้านใน พนักงานนำถุงสีน้ำเงินใสมาให้เราใส่หุ้มรองเท้า
เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นภายในพิพิธภัณฑ์เกิดความสกปรกเสียหาย
พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร
กระต่ายใส่ถุงหุ้มรองเท้าเรียบร้อย
ห้องที่ 1 ความเป็นมาในการสร้าง
จากนั้นจึงมีพนักงานผู้หญิง
ใส่ชุดคอจีนสีแดงสดนำเราเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์
โดยห้องแรกที่เข้าชมนั้นมีเก้าอี้ให้นั่งชมภาพยนตร์เกี่ยวกับความเป็นมาในการสร้างพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร
ซึ่งเป็นแนวคิดของคุณบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21
ในภาพยนตร์เป็นการ์ตูนภาพคุณบรรหาร และลูกสาว
พูดคุยกันถึงเรื่องการสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ความสัมพันธ์ทางการทูต
ไทย-จีน ครบรอบ 20 ปี
ตัวการ์ตูนคุณบรรหาร และลูกสาว
จากนั้นพนักงานนำเราออกมาจากห้อง
แล้วพาเดินไปยังทางเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งที่ริมประตูมีมังกรทองคำตั้งแสดงไว้
ของชิ้นนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของคุณบรรหาร ที่ให้นำมาตั้งแสดงเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
มังกรทองคำ
ห้องที่ 2 ห้องเทพนิยาย (กำเนิดโลก)
ผู้บรรยายนำเราเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ห้องแรก
ภายในห้องค่อนข้างมืดมีรูปปั้นเทพผานกู่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า มีเสียงบรรยายถึงตำนานเทพผู้สร้างโลกในความเชื่อของชาวจีน
พร้อมทั้งมีการฉายภาพเทพผานกู่บนผนังด้านข้างรูปปั้น กล่าวถึงการสร้างโลกว่าเดิมทีโลกมีสัณฐานกลมเหมือนไข่ภายในมีเทพผานกู่
เมื่อเทพผานกู่ตื่นขึ้นก็ใช้ขวานยักษ์โถมฟาดสุดแรง
ทำให้ฟองไข่แตกออกแล้วยืดตัวใช้พละกำลังดันผืนดิน และแผ่นฟ้าให้แยกจากกัน
โดยยืนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานถึง 18,000 ปี
จนทั้งสองส่วนไม่สามารถจะรวมกันได้อีก และเทพผานกู่ก็สิ้นใจ ลมหายใจทอดไปเป็นสายลม
ตาข้างซ้ายหลุดออกมากลายเป็นพระอาทิตย์ ตาข้างขวากลายเป็นพระจันทร์
ร่างกายกลายเป็นภูเขา เลือดกลายเป็นแม่น้ำ ผม และหนวดเครากลายเป็นต้นไม้ ฟ้าดิน
และจักรวาลจึงถือกำเนิดขึ้นดังที่ได้กล่าวมานี้
โดยเปรียบเทียบได้กับการที่เรามีผืนแผ่นดินอยู่อาศัยได้ก็ด้วยบรรพบุรุษแลกมาด้วยเลือดเนื้อ
และชีวิต ดังนั้นจึงควรที่จะหวงแหนรักษาไว้ให้ลูกหลานของเราสืบไป
การสร้างโลกของผานกู่
ห้องที่ 3 ห้องเทพนิยาย (กำเนิดมนุษย์)
เมื่อมีโลกแล้วก็ต้องมีมนุษย์
ซึ่งในความเชื่อของชาวจีนซึ่งถือว่าตนมีประชากรมากที่สุดในโลก
เชื่อว่ามนุษย์เกิดจากการที่เทพธิดาหนี่วานำดินจากแม่น้ำเหลืองมาปั้นเป็นมนุษย์คู่แรก
และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้นผิวพรรณของชาวจีนจึงมีสีเหลือง
ด้านหนึ่งของห้องมีขวดโหลใส่น้ำตั้งแสดงอยู่
เขียนป้ายติดไว้ว่าเป็นน้ำจากแม่น้ำเหลือง
กระต่ายก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะมีสีเหลืองสมกับที่มีชื่อว่าแม่น้ำเหลืองซะจริงๆ
เทพธิดาหนี่วา
น้ำจากแม่น้ำเหลือง
ห้องที่ 4 ห้องตำนาน (เสินหนง)
ผู้บรรยายนำชมทางซ้ายของห้องก่อน
มีรูปปั้นคนมีหนวดเคราขนาดเล็ก เดินอยู่ในป่า ในมือถือสมุนไพร เขามีชื่อว่า
“เสินหนง” เป็นบิดาแห่งการเกษตร เขาชิมสมุนไพรต่างๆ เพื่อทดลองใช้กับมนุษย์
และเป็นผู้ค้นพบชาเป็นคนแรก ชาวจีนจึงนิยมดื่มชาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เสินหนง
อักษรจีนคำว่าชา
3 แบบ
ห้องที่ 5 ห้องตำนาน (ปฐมกษัตริย์)
ตรงกลางห้องมีรูปปั้นคนขนาดใหญ่
2 คน รูปปั้นนี้หมุนได้อัตโนมัติแทนจักรพรรดิโบราณ คือเอี๋ยนตี้ และหวงตี้
ซึ่งเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว แบ่งพื้นที่ทำกินกัน 2
ฝั่งแม่น้ำและทำสงครามกันอยู่เสมอ แต่สุดท้ายร่วมกันสร้างชาติจีนขึ้นมาจนสำเร็จ
ชาวจีนเรียกตนเองว่าลูกหลานเอี๋ยนหวง ในปัจจุบันหลุมศพของท่านทั้ง 2
ได้รับการเซ่นไหว้ในฐานะบรรพบุรุษของชนชาติสืบมา
ซ้ายเอี๋ยนตี้
ขวาหวงตี้
หนังสือบางเล่มกล่าวว่าหวงตี้ชนะสงคราม
และได้รับการนับถือว่าเป็นฮ่องเต้องค์แรกของจีน
จึงเป็นที่มาของการเรียกจักรพรรดิว่าหวงตี้
หรือที่ชาวไทยเราเรียกว่าฮ่องเต้นั่นเอง
ป้ายสุสานหวงตี้
ด้านขวาสุดจัดแสดงสิ่งประดิษฐ์เข็มทิศ
และอาวุธโบราณ เรียงรายไว้ให้ชม
รถเข็มทิศ
อาวุธโบราณ
ห้องที่ 6 ห้องราชวงศ์เซี่ย-ซาง :
ตำนานปลาหลีฮื้อ กลายเป็นมังกร
ที่พื้นห้องจำลองเป็นน้ำที่มีปลาหลีฮื้อว่ายวนไปมา
เป็นภาพเคลื่อนไหวเสมือนจริงที่สวยงามมาก บนเพดานมีมังกรสีทองพาดยาวตลอดแนว เรื่องราวมีอยู่ว่าเมื่อ 4,000 ปี ก่อน “อวี่”
ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ป้องกันภัยน้ำท่วม
โดยใช้วิธีขุดทางระบายน้ำแทนการสร้างเขื่อน ตรากตรำนานถึง 13 ปี
ต้องสกัดภูเขาเปิดเป็นช่องทางให้น้ำไหลลงต่ำไปสู่ทะเล ชาวจีนยกย่องให้ท่านเป็น
“ต้าอวี่” แปลว่าอวี่ผู้ยิ่งใหญ่ และเรียกช่องเขานั้นว่า “หลงเหมิน”
หรือประตูมังกร
ปลาหลีฮื้อตัวใดที่พากเพียรว่ายทวนน้ำดีดตัวข้ามประตูมังกรไปได้ก็จะกลายเป็นมังกร
บรรยายมาถึงตรงนี้
มังกรที่ทอดยาวอยู่ข้างบนก็ขยับตัวส่ายไปมาส่งเสียงเหมือนมีชีวิต
เปรียบกับคนที่มีความพากเพียรย่อมได้รับผลดีอันยิ่งใหญ่ตามมาในที่สุด
พื้นจำลองที่มีปลาหลีฮื้อว่ายน้ำเคลื่อนไหวไปมา
ต้าอวี่
มังกรทองบนเพดาน
ผู้บรรยายชักชวนให้ผู้เข้าชมขึ้นมายืนจับปลา
โดยบอกให้จับแล้วก็เอาใส่กระเป๋าจะได้โชคดีรับปีใหม่ มีเด็กเล็กๆ
หลายคนขึ้นมาจับปลากันสนุกสนาน แม้จะเป็นเพียงภาพเคลื่อนไหว แต่เด็กๆ
ก็ไล่ไขว่คว้าเล่นกันอย่างเมามัน
ห้องที่ 7 ห้องราชวงศ์โจว ยุคแห่งนักคิด นักปราชญ์ “ร้อยสำนักประชัน”
ห้องนี้ให้เราเข้าไปนั่งเก้าอี้กลางห้อง
แล้วพื้นก็จะหมุนไปรอบๆ พาเราชมเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคนี้
ซึ่งเป็นรูปปั้นเล็กๆ ในตู้กระจก
1.
ซุนอู่ ผู้แต่งตำราพิชัยสงคราม “รู้เขา รู้เรา
รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
การจัดทัพตามแบบพิชัยสงครามของซุนอู่
2. ไซซี 1 ใน 4
หญิงงาม ผู้ได้รับการเปรียบเปรยว่า “มัจฉาจมวารี” นางไซซี ถูกนำมาเป็นบรรณาการให้แก่อ๋องรัฐอู่ เพื่อมอมเมาให้อู่อ๋องฟูซาลุ่มหลง
ทำให้แพ้สงครามรัฐเยว่ จากนั้นนางก็หายไปพร้อมกับอำมาตย์ฟ่านหลีหลีกเร้นเข้าป่าใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข
ไซซี
ไซซี และอำมาตย์ฟ่านหลี
3. ขงจื้อ
ผู้สอนให้มนุษย์ ปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก
ขงจื้อกำลังสั่งสอนศิษย์
รูปปั้นของขงจื้อ
4. ชวีหยวน
กวีผู้รักชาติ ต้นกำเนิดขนมบะจ่าง และประเพณีการแข่งขันเรือมังกร
ในสมัยจั้นกว๋อ
(ราวก่อนค.ศ. 403 - 211) กษัตริย์ฉู่เซียนอ๋อง
ทรงโปรดปรานขุนนางกังฉินเป็นอย่างมาก ต่อมา กวีผู้รักชาตินาม "ชวีหยวน"
ได้พูดเตือนพระองค์ ทำให้ชวีหยวนถูกปลดจากตำแหน่ง และถูกไล่ออกจากเมืองหลวง
นอกจากนี้ รัฐฉินยังถูกรัฐฉู่เข้ารุกรานจนประเทศล่มสลาย ประชาชนยากไร้ ชวีหยวนรู้สึกอดสูแก่ใจที่ไม่อาจช่วยเหลือประเทศชาติได้จึงผูกตัวเองกับก้อนหินแล้วกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
เมื่อชาวบ้านที่นับถือในตัวชวีหยวนทราบเรื่องเข้า
ก็ช่วยกันหาศพของชวีหยวน แต่ก็ไม่พบ และเพื่อเป็นการระลึกถึงความรักชาติของชวีหยวน
พวกชาวบ้านจึงได้มีการโยนบะจ่างลงในน้ำ เพื่อให้บรรดาสัตว์น้ำ เช่นปลา และมังกรไม่ต้องไปกินศพของชวีหยวน
แต่มากินบะจ่างแทน
จึงถือเป็นวันเทศกาลสารทขนมจ้าง
(หรือบ๊ะจ่าง) และก็มีการแข่งเรือมังกรด้วย
ประเพณีนี้ยังคงมีปฏิบัติสืบต่อกันมาในวันที่ 5 เดือน 5 ของทุก ๆ ปี ตลอดระยะเวลา
สองพันกว่าปีมานี้ และก็ได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม มลายู
รวมถึงดินแดนสุวรรณภูมิด้วย
ชวีหยวนกระโดดน้ำตาย
ชาวบ้านช่วยกันค้นหาศพ
การทำขนมบะจ่าง
5.
เล่าจื้อ ผู้ให้กำเนิดลัทธิเต๋า แต่งตำราชื่อว่า “เต้าเต๋อจิง”เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีสิ่งตรงกันข้าม
เช่น ภัยและโชค มีและไม่มี เกิดและดับ สูงส่งและต้อยต่ำ บนและล่าง
เข้มแข็งและอ่อนแอ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปได้
ภายหลังราชสำนักเสื่อมถอยเล่าจื้อลาออกจากราชการขี่ควายออกท่องเที่ยวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เล่าจื้อขี่ควายท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง
ห้องที่ 8 ห้องราชวงศ์ฉิน :
จิ๋นซีฮ่องเต้ ฮ่องเต้องค์แรกในประวัติศาสตร์
ภายในห้องนี้มีรูปปั้นของจักรพรรดิ
“จิ๋นซีฮ่องเต้” และแบบจำลองกำแพงเมืองจีนทางฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายมีตุ๊กตาทหารดินเผาในสุสานของจิ๋นซีย่อส่วนอยู่ใต้พื้นกระจก
เราชมวีดีทัศน์บรรยายเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นในยุคของจิ๋นซีฮ่องเต้
เกี่ยวกับการประดิษฐ์อักษรจีน การปราบก๊กต่างๆ เพื่อรวมจีนขึ้นเป็นชาติ การเชื่อมกำแพงเมืองของก๊กต่างๆ
ที่สร้างไว้แล้วยาวนับหมื่นลี้ เพื่อใช้ป้องกันการรุกราน โดยมีการส่งสัญญาณควันไฟระหว่างป้อมบนกำแพง
เมื่อบรรยายมาถึงตรงนี้กำแพงจำลองก็มีไฟติดขึ้นระหว่างป้อมยามบนกำแพง
และมีควันขึ้นอบอวล
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ในปัจจุบันยังมิได้ขุดถึงตรงส่วนที่ฝังพระศพ
ได้แต่เพียงขุดตามรอบนอกพบตุ๊กตาดินเผาจำนวนมาก ซึ่งแต่ละตัวมีหน้าตาที่แตกต่างกันทั้งหมด
เมื่อขุดพบใหม่ๆ ตุ๊กตามีสีสันสวยงาม
แต่เมื่อถูกอากาศสีของตุ๊กตาก็หายไปกลายเป็นสีของดินเผาธรรมดาใน 24 ชั่วโมง
นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามที่จะคิดค้นวิธีการคงสภาพของโบราณวัตถุให้ได้เสียก่อนจึงจะทำการขุดสุสานต่อไป
กำแพงเมืองจีนจำลอง
ตุ๊กตาดินเผาใต้พื้นกระจก
รูปปั้นจิ๋นซีฮ่องเต้
หุ่นดินเผาที่ยังมีสีสัน http://www.meetaweetour.co.th
หุ่นดินเผาที่สีจางไปแล้ว
http://www.meetaweetour.co.th
http://www.meetaweetour.co.th
ห้องที่ 9 ห้องราวงศ์ฮั่น : ยุคแห่งความรุ่งเรือง และความภาคภูมิใจ
ในฉากนี้มีพระสองรูปเดินจูงม้าสีขาว
พระรูปแรก และม้าขาวเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ส่วนพระอีกรูปหนึ่งอยู่ในรูปภาพ ทั้งหมดอยู่ภายในกรอบประตู มีม้าแกะสลักด้วยหินขนาดพอเหมาะคู่หนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า พระองค์นี้คือพระกาศยปมาตังคะ
และพระธรรมรักษ์ ผู้เชิญพระไตรปิฎกมาจากประเทศอินเดีย ส่วนซุ้มประตูคือนวัดแป๊ะเบ๊ยี่
แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว
เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามากับพระเถระทั้งสอง
เป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธในประเทศจีน จากนั้นมีฉากสีขาวเลื่อนมาบังหุ่นขี้ผึ้ง
แล้วฉายภาพวัดม้าขาวที่มีอยู่จริงในประเทศจีนให้ชม
พระผู้เชิญพระไตรปิฎกจากอินเดีย
วัดม้าขาว
ฉากรอบนอก
ในสมัยฮั่นยังมีการเดินทางตามเส้นทางสายไหม
ที่เชื่อมต่อการค้าของโลกยุคโบราณ และเป็นยุคแห่งการค้นพบวิธีทำกระดาษโดยขันทีนามว่าไช่หลุน
มีครั้งหนึ่งกระดาษมีสีคล้ำเพราะผลิตผิดกรรมวิธี
แทนที่จะนำไปเผาทำลายโดยเปล่าประโยชน์ ไช่หลุนใช้กระดาษเหล่านี้โดยให้นำมาเผาไฟให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
จึงกลายเป็นประเพณีเผากระดาษเงินกระดาษทองของชาวจีนตราบจนถึงปัจจุบัน
เส้นทางสายไหม
การทำกระดาษของไช่หลุน
ในยุคนี้ยังปรากฏหญิงงามอีกนางหนึ่งคือ
หวังเจาจวิน ผู้ได้รับการเปรียบเปรยว่า “ปักษีตกนภา”
หวังเจาจวิน ถูกส่งตัวไปเป็นนางกำนัลในวัง
แต่ฮ่องเต้ไม่เคยทรงเห็นนางเลย
เพราะนางไม่ได้ติดสินบนแก่ขันทีให้วาดรูปแสดงความงามที่แท้จริง
ต่อมาเมื่อเผ่าซ่งหนูเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีตามธรรมเนียม ฮ่องเต้จึงมอบหวังเจาจวิน
พร้อมทั้งนางกำนัลอีก 4 นาง ให้กับหูฮันเซีย ผู้นำเผ่าซ่งหนู
ในวันที่ส่งนางออกเดินทาง ทั้งฮ่องเต้ และขุนนางต่างตกตะลึงในความงาม
และเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
หวังเจาจวิน
ห้องที่ 10 ห้องสามก๊ก
ในห้องนี้มีหุ่นขี้ผึ้งของกวนอู่ตั้งเด่นเป็นสง่าเห็นมาแต่ไกล
คู่กับขงเบ้ง
ผู้บรรยายให้เรานั่งบนขั้นบันไดด้านหน้าหุ่นขี้ผึ้งเพื่อชมวีดีทัศน์เกี่ยวกับยุคสามก๊ก
ซึ่งเป็นเรื่องราวความวุ่นวายในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น
โดยมีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างก๊กทั้ง 3 คือ วุยก๊ก (โจโฉ) จ๊กก๊ก (เล่าปี่)
และง่อก๊ก (ซุนกวน) โดยกล่าวถึงฉากสำคัญในเรื่องคือ “สาบานในสวนท้อ”
เป็นฉากร่วมสาบานของเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย อันเป็นฉากประทับใจในเรื่อง
มีไฟสว่างขึ้นตรงตุ๊กตาเล็กๆ ในกรอบด้านบนทางขวามือ
ขงเบ้ง
และกวนอู
(จากซ้าย) เตียวหุย เล่าปี่ และกวนอู
อีกฉากสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในที่นี้คือ
“ยุทธการผาแดง” ซึ่งมีที่มาจากการที่โจโฉยุยงฮ่องเต้ให้ส่งทหารไปปราบ ง่อก๊ก
และจ๊กก๊ก เพื่อรวมประเทศจีนให้เป็น 1 เดียว ดังนั้นเล่าปี่
และซุนกวนจึงร่วมมือกันต่อสู้กับโจโฉ
โดยขงเบ้งคำนวณทิศทางลมให้พัดไปทางกองเรือของโจโฉ
แล้วจุดไฟเผาเรือทั้งหมดจนทำให้โจโฉต้องพ่ายแพ้กลับไป ฉากนี้นับว่าสร้างได้ดีมาก
ขณะที่วีดีทัศน์กำลังฉายภาพขงเบ้งตวัดพัด ก็มีลมแรงพัดมาปะทะตัวเรา
และฉากด้านหน้าซึ่งเป็นกองเรือของโจโฉก็เสมือนว่ามีไฟลุกแดงขึ้นมาทันที
มีเสียง โกลาหน
และเสียงไฟลุกไหม้พร้อมกับมีลมร้อนพัดวูบมาแทนลมเย็นเมื่อสักครู่ พวกเรานั่งดูกันอย่างตื่นตาตื่นใจ
แม่บอกว่า “ไปดูที่เมืองจีนยังสู้ไม่ได้เลยนะเนี่ย”
ฉากไฟไหม้กองทัพเรือของโจโฉ
เมื่อจบฉากไฟไหม้
เรื่องราวก็ดำเนินต่อไปอีกตรงที่ว่าขงเบ้งสั่งให้กวนอูตามไปจับตัวโจโฉ ทั้งที่รู้ว่าโจโฉเคยมีบุญคุณไว้ชีวิตกวนอูมาแล้วครั้งหนึ่ง
การณ์จะไม่สำเร็จ แต่ก็เพื่อที่จะให้กวนอูได้สนองคุณโจโฉเป็นการตอบแทน
จะได้ไม่ติดค้างบุญคุณกันอีกต่อไป
เรื่องนี้แสดงถึงคุณธรรมความกตัญญูที่ควรตอบแทนผู้มีพระคุณ
ห้องที่ 11 ห้องราชวงศ์สุย
ราชวงศ์สุยปกครองประเทศจีนในช่วงสั้นๆ
มีผลงานที่สำคัญคือการขุดคลอง “ต้าอวิ่นเหอ” ยาวนับพันกิโลเมตร ถือเป็นคลองขุดที่ยาวที่สุดในประเทศจีน
เพื่อเป็นเส้นทางประพาสของฮ่องเต้ กระทั่งกลายเป็นเส้นทางการค้าทางน้ำที่สำคัญในเวลาต่อมา ในฉากนี้มีเรือแขวนกลับหัวไว้บนเพดาน
แสดงให้เห็นถึงความคิดอันพิสดารของฮ่องเต้ราชวงศ์สุย
เรือมังกรแขวนกลับหัวบนเพดาน
ห้องที่ 12 ห้องราชวงศ์ถัง
มีการฉายวีดีทัศน์เกี่ยวกับวัดเส้าหลิน
ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของจีน และเรื่องราวของปรมาจารย์ตั๊กม้อ
ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นต้นฉบับของท่ารำมวยจีน
เล่าว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อเข้าฌานนานหลายปี
เมื่อออกจากสมาธิท่านบิดกายไล่ความเมื่อขบ เป็นท่าทางต่างๆ จึงนำมาประยุกต์เป็นท่ารำมวยจีนจนถึงปัจจุบัน
ปรมาจารย์ตั๊กม้อ
มวยจีนวัดเส้าหลิน
เมื่อวีดีทัศน์จบผู้บรรยายชักชวนให้ผู้เข้าชมเข้าไปในถ้ำจำลองด้านข้าง
ให้ลองส่องดูตรงตาแมวจะมองเห็นท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ทุกคนพากันเข้าคิวดูกันใหญ่
พอดูเสร็จต่างก็แยกย้ายออกมาไม่มีใครเฉลยว่ามีอะไร กระต่ายจึงไปส่องดูบ้าง
พบว่ามีภาพมวยจีนฉายอยู่ข้างใน โดยเปลี่ยนท่าทางไปเรื่อยๆ
เหมือนกับภาพที่อยู่บนกำแพงนั่นเอง
ไก่โต้งก็ไปส่องดูเหมือนกัน
นอกจากเรื่องราวของวัดเส้าหลินในสมัยราชวงศ์ถังยังมีฮ่องเต้หญิงองค์แรกก็คือ
“บูเช็คเทียน” ซึ่งเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ถังไท่จง และถังเกาจง
พระนางสร้างพระพุทธรูปแกะสลักไว้บนหน้าผาซึ่งมีพระพักตร์คล้ายกับพระนางเองไว้องค์หนึ่งนามว่าพระโวโรจนะ
บูเช็กเทียนฮ่องเต้หญิงองค์แรก
และองค์เดียวของจีน
พระโวโรจนะ
บูเช็คเทียน
หญิงงามของจีนคนที่
3 ก็ปรากฏขึ้นในสมัยนี้ คือ หยางกุ้ยเฟย หญิงงามผู้ได้รับการเปรียบเปรยว่า “มวลผกาละอายนาง”
ในห้องมีหุ่นขี้ผึ้งเปาบุ้นจิ้น
กำลังนั่งบัลลังก์ตัดสินคดีอยู่ในศาลไคฟง แวดล้อมด้วยข้าราชการ
และจำเลยที่กำลังจะถูกประหารด้วยเครื่องประหารหัวมังกร ในคดีประหารราชบุตรเขย
เครื่องประหารของศาลไคฟงมี 3 แบบคือ 1. เครื่องประหารหัวมังกร สำหรับใช้ประหารราชวงศ์
2. เครื่องประหารหัวพยัคฆ์สำหรับประหารขุนนางข้าราชการ 3. เครื่องประหารหัวสุนัข
สำหรับประหารประชาชนทั่วไป ขณะกำลังฟังบรรยายอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงดังก้องขึ้นว่า
“ประหาร” ทำให้กระต่ายสะดุ้งเล็กน้อย พร้อมกับที่ไม้ติ้วสีแดงถูกโยนจากมือหุ่นเปาบุ้นจิ้นลงมาที่พื้น
หุ่นเพชฌฆาตก็ลงมีดฉับ แต่ไม่โดนคอของหุ่นราชบุตรเขย
เพียงแต่อุปมาว่าถูกประหารเท่านั้น
ฉากประหารราชบุตรเขย
ห้องที่ 14 ราชวงศ์ซ่งใต้ (งักฮุย)
แสดงหุ่นขี้ผึ้งของแม่ทัพ
“งักฮุย” ซึ่งเป็นผู้ภักดีต่อชาติ หุ่นชุดแรกเป็นงักฮุ่ยคุกเข่าให้มารดาสักอักษร จิ้นจงเป้ากั๋ว
(รู้รักภักดี พลีชีพเพื่อชาติ)
หุ่นชุดที่
2 งักฮุยรับราชโองการฮ่องเต้ซ่งเกาจงให้ถอนทัพ ทั้งที่กำลังจะได้รับชัยชนะ
เพราะฮ่องเต้ถูกฉินฮุ่ย และภรรยายุแยง จึงส่งราชโองการให้ถอยทัพมาถึง 12 ครั้ง
งักฮุยรับราชโองการ
เมื่อกลับเข้าเมืองก็ถูกฉินฮุ่ย
และภรรยาใส่ร้ายจนถูกประหารชีวิต ชาวบ้านที่เคารพรักงักฮุยนำศพของเขามาฝังที่ริมแม่น้ำซีหูที่เมืองหังโจว
และด้วยความโกรธแค้นฉินฮุ่ย และภรรยา
จึงหล่อรูปปั้นของคนทั้งคู่คุกเข่าขอโทษไว้ที่หน้าหลุมศพของงักฮุย
แล้วพากันทุบตีถ่มถุยน้ำลายเพื่อระบายความแค้น ผู้บรรยายนำชมหุ่นฉินฮุ่ย และภรรยา
บอกพวกเราว่าสามารถทุบตีได้ตามสบาย แต่ห้ามถ่มถุยเด็ดขาด
กระต่าย
และแม่เคยได้เห็นได้เห็นรูปปั้นฉินฮุ่ย และภรรยาของจริงมาแล้ว
ที่สุสานงักฮุยในเมืองหังโจว ในการเดินทางไปเที่ยวประเทศจีนครั้งแรกของเรา 2
แม่ลูก จึงแอบยิ้มพยักเพยิดให้กันนิดหน่อยว่าเรื่องนี้เรารู้แล้ว
ชาวจีนยังนวดแป้ง 2
ชิ้นนำมาติดคู่กันแทนฉินฮุ่ย และภรรยา แล้วทอดในน้ำมันร้อนๆ
ฉีกกินเพื่อระบายความแค้นอีกด้วย จึงเป็นที่มาของปาท่องโก๋ด้วยประการฉะนี้
ฉินฮุ่ย
และภรรยา
ป้ายสุสานงักฮุย
ห้องที่่ 15 ห้องราชวงศ์หยวน
ห้องนี้มีสะพานมาโคโปโลจำลองมาจากของจริงที่กรุงปักกิ่ง
ให้เราเดินเข้ามาหยุดชมวีดีทัศน์ตรงกลางสะพาน
ซึ่งด้านล่างสะพานมีบ้านจำลองขนาดเล็กแน่นขนัดมองเห็นได้ทั้งจากกระจกใสตรงกลางสะพาน
และถัดจากตัวสะพานออกไป
สะพานมาโคโปโล
บ้านเรือน
2 ฝั่งแม่น้ำ ข้างใต้สะพาน
วีดีทัศน์แสดงเรื่องราวของชาวจีนซึ่งถูกปกครองโดยราชวงศ์หยวนซึ่งเป็นชาวมองโกลอย่างไม่ยุติธรรม (ชาวจีนส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่น) เมื่อถูกกดขี่ข่มเหงจนทนไม่ได้จึงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวที่จะต่อต้าน บนเพดานมีพระจันทร์จำลองหมุนจนกระทั่งเต็มดวง แล้วจึงฉายภาพการดำเนินการนัดแนะกันผ่านทางจดหมายที่สอดไว้ในขนม แล้วส่งให้แก่กันเพื่อบอกแผนในการโค่นล้มราชวงศ์หยวน
เป็นที่มาของเทศกาลขนมไหว้พระจันทร์
พระจันทร์หมุนไปเรื่อยๆ
สอดจดหมายลับในขนม
ห้องที่ 16 ห้องราชวงศ์หมิง (เจิ้งเหอ)
ห้องนี้มีหุ่นขี้ผึ้งที่ดูคุ้นตาซึ่งก็คือ
ขันทีนามว่า “เจิ้งเหอ” ซึ่งเดินเรือออกไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศถึง 7
ครั้ง รวมถึงเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระรามราชาธิราช ราชวงศ์อู่ทอง เจิ้งเหอพบทวีป
อเมริกาก่อนโคลัมบัสนานถึง 71 ปี และชาวยุโรปในสมัยนั้นต่างก็เดินเรือโดยใช้แผนที่ของชาวจีน
ผู้บรรยายบอกกับเราว่าให้ยืนอยู่ในบริเวณพื้นด้านในของห้อง
เนื่องจากขณะที่บรรยายมาถึงเวลาที่เจิ้งเหอออกเรือ
พื้นก็โคลงเคลงคล้ายกับเวลาที่เราลงไปยืนบนเรือจริงๆ
ขนาดแม่ยังเป็นห่วงกลัวว่าไก่โต้งจะเมาเรือ
เจิ้งเหอรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งคือ
“ซำปอกง” ซึ่งไปซ้ำกับชื่อของวัดไทยหลายวัดด้วยกัน เช่นวัดพนัญเชิง วัดกัลยาณมิตร
เป็นต้น ซึ่งล้วนมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานในวิหารเช่นเดียวกัน มีนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ามีชาวจีนที่มีความศรัทธาเขียนภาษาจีนไว้ว่า
“ซำปอฮุดกง” ซึ่งแปลว่า พระเจ้า 3 พระองค์ หมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
แต่ชาวจีนบางคนมาเห็นแล้วเข้าใจผิดคิดว่าวัดเป็นที่เซ่นไหว้ซำปอกง
แล้วก็เรียกตามกันอย่างนั้นเรื่อยมา ทั้งที่จริงแล้วเจิ้งเหอ
ซำปอกงนั้นมีเชื้อสายเป็นมุสลิม
แต่ประวัติศาสตร์ก็ผ่านมายาวนานจนไม่รู้ว่าสิ่งใดถูกหรือผิด
ผู้บรรยายเองก็เรียกซำปอกงในที่นี้กับที่วัดพนัญเชิง และวัดกัลยาณมิตร เป็นอย่างเดียวกัน
เจิ้งเหอ
ซำปอกง
กระต่ายสันนิษฐานอีกทางหนึ่งว่าวัดที่มีชื่อเรียกว่าซำปอกงนั้นมักจะตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำเป็นส่วนใหญ่
และเจิ้งเหอ ซำปอกงนั้นชาวจีนนับถือว่าเป็นเทพซำปอกง
ดังนั้นวัดที่อยู่ใกล้แม่น้ำก็อาจได้รับการอุปมาว่าเป็นเสมือนที่สถิตย์ของเทพเจ้าซำปอกง
ซึ่งได้รับการสักการะว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเดินเรือและมักจะสร้างพระประธานองค์ใหญ่ก็เพื่อที่จะได้สามารถมองเห็นมาแต่ไกลจากในเรือ ก็อาจเป็นไปได้
บนเรือมีหีบไม้ใส่สมบัติที่นำไปกำนัลแก่แว่นแคว้นต่างๆ
ที่ไปเยือน
ห้องที่ 17 ห้องราชวงศ์หมิง (เครื่องลายคราม)
ในอีกห้องหนึ่งของราชวงศ์ถังมีเครื่องลายครามตั้งแสดงอยู่
และมีพระบรมฉายาลักษณ์ฮ่องเต้หย่งเจิ้นที่ผนังด้านหนึ่ง
เนื่องจากพระองค์เป็นผู้สั่งให้เจิ้งเหอออกเดินทางสำรวจทางทะเลนั่นเอง
เครื่องลายคราม
ฮ่องเต้ย่งเจิ้น
ห้องที่ 18 ห้องราชวงศ์ชิง (โรงงิ้ว โรงฝิ่น)
ห้องนี้มีสีสันฉูดฉาดจากตุ๊กตางิ้วที่ตั้งอยู่บนเวทียกพื้นเตี้ยๆ
ตุ๊กตากลเคลื่อนไหวแสดงงิ้วเรื่องขุนศึกตระกูลหยางให้เราชมนิดหน่อยพอสนุก
โดยมีทั้งเสียงร้อง และการเคลื่อนไหว งิ้วเป็นอุปรากรที่แพร่หลายมากในสมัยราชวงศ์ชิงทั้งใน
และนอกราชสำนัก และยังได้รับการยกย่องให้เป็นนาฏศิลป์สำคัญแขนงหนึ่งของโลก
ตุ๊กตากลแสดงงิ้วเรื่องขุนศึกตระกูลหยาง
การแสดงงิ้วเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยเฉียนหลงฮ่องเต้
และยุคพระนางซูสีไทเฮา เนื่องจากทรงโปรดทอดพระเนตรงิ้วมาก
จากห้องที่จัดแสดงงิ้วมีทางเดินเล็กๆ สองข้างทางมีตู้กระจกซึ่งภายในมีหุ่นเล็กๆ
แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับฝิ่นในสมัยราชวงศ์ชิงซึ่งชาวอังกฤษเป็นผู้นำเข้ามาเผยแพร่ในจีน
เนื่องจากต่างชาติขาดดุลการค้าจีน เพราะนำเข้าใบชาจากจีนเป็นจำนวนมากกว่าที่ชายสินค้าให้กับขาวจีน จึงค้าฝิ่นให้กับชาวจีนซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าใบชา ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงมจนได้ฉายาว่า”ขี้โรคแห่งเอเชียตะวันออก”
สภาพของชาวจีนที่ติดฝิ่น
สมัยนั้นฮ่องเต้เต้ากวงปกครองประเทศจีนส่ง “หลินเจ๋อสวี”
มาเป็นผู้ตรวจการทำลายล้างการค้าฝิ่น และฟื้นฟูผู้ติดฝิ่น โดยสั่งห้ามค้า
และยึดฝิ่นจำนวนมากมาทำลาย บังคับให้ชาวต่างชาติยกเลิกการค้าฝิ่น
ทำให้ชาวต่างชาติเกิดความไม่พอใจนำไปสู่สงครามฝิ่นในที่สุด จีนเป็นฝ่ายแพ้สงครามต้องเสียค่าปฏิกรณ์สงครามจำนวนมาก
และยกเกาะฮ่องกงให้เป็นเขตปกครองพิเศษของอังกฤษเป็นเวลาถึง 99 ปี
การเจรจายกเลิกการค้าฝิ่น
การทำลายฝิ่น
เมื่อแพ้สงครามชาวจีนยังคงเป็นทาสของฝิ่นไม่ว่ารวยหรือจน
ผู้บรรยายพาเราเดินทะลุออกมาอีกห้องหนึ่งซึ่งยังคงต่อเนื่องจากเรื่องราวของราชวงศ์ชิงมีภาพขนาดใหญ่ของพระราชวังต้องห้าม
ตรงหน้าตำหนักไท่เหอซึ่งมีลานกว้างสำหรับขุนนางเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้
ตำหนักแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงเป็นที่ประทับของฮ่องเต้หลายพระองค์จนกระทั่งสิ้นระบอบกษัตริย์
ผู้บรรยายแนะนำว่าถ้าถ่ายภาพโดยไม่เห็นเท้าก็จะเหมือนว่าเราได้ไปถ่ายภาพในสถานที่จริง
พ่อซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังไม่เคยไปพระราชวังต้องห้ามจึงถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก
ตำหนักไท่เหอ
พระราชวังต้องห้าม
ห้องที่ 19 ราชวงศ์ชิง (จักรพรรดิ์องค์สุดท้าย)
ในที่สุดก็มาถึงจุดล่มสลายของระบอบกษัตริย์ในประเทศจีน
เมื่อเรามาถึงห้องที่มีฮ่องเต้น้อยปูยีนั่งบนบัลลังก์มังกร ฮ่องเต้เซวียนถ่ง
หรืออีกชื่อหนึ่งที่นิยมเรียกคือปูยี ครองบัลลังก์ตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 3 ขวบ
และอาศัยอยู่แต่ในพระราชวังต้องห้ามนานถึง 16 ปี จึงได้ออกมาเห็นโลกภายนอก
ภายหลังนายพลหยวนซื่อไข่ถูกโค่นล้มโดย ดร. ซุนยัดเซ็น ปูยีก็ถูกขับไล่ออกจากวังต้องห้ามเพราะราชวงศ์ชิงเป็นชาวต่างชาติ
(แมนจู) เมื่อออกจากวังต้องห้ามทรงกลับไปอยู่วังขององค์ชายชุนซึ่งเป็นพระบิดา
ก่อนที่จะอยู่ในอารักขาของสถานทูตญี่ปุ่น
ปูยีมีความสุขช่วงหนึ่งในชีวิตขณะที่อาศัยอยู่ในเมื่องเทียนสินซึ่งเป็นเขตปกครองของญี่ปุ่น
ทรงใช้ชื่อว่า “เฮนรี่ปูยี” และใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ต่อมาเมื่อ ดร. ซุนยัดเซน
ถึงแก่กรรม นายพลเจียงไคเช็คจึงขึ้นเป็นใหญ่แทนที่ และเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของรัฐบาลจีนต่อจาก
ดร. ซุนยัดเซน สถานภาพของปูยีถูกสั่นคลอนเมื่อนายพลเจียงไคเช็คทำลายสุสานพระนางซูสีไทเฮา
แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังที่มีต่อราชวงศ์ชิง จึงทรงรับความช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่นมากกว่าประเทศจีน
โดยให้เหตุผลว่าญี่ปุ่นมีพระจักรพรรดิอายุไล่เลี่ยกันต่อมาประเทศญี่ปุ่นยึดครองแมนจูเรียมาจากจีนแล้วสถาปนาเป็นประเทศแมนจูกัว
และให้ปูยีขึ้นครองราชย์เป็นพระจักรพรรดิ สร้างความโกรธแค้นให้แก่รัฐบาลจีน แต่สุดท้ายญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกปูยีจึงถูกรัฐบาลจีนจับตัวมาคุมขังไว้ในศูนย์จัดการอาชญากรสงครามในฟู่ฉวนนานถึง
10 ปี เพื่อให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
และยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งขณะนั้นนำโดยเหมาเจ๋อตุง
ปูยีได้รับการปล่อยตัวออกจากศูนย์ควบคุมเมื่อมีอายุได้
48 ปี โดยทำงานเป็นคนสวนในสถาบันพฤกษศาสตร์ และในช่วงบั้นปลายชีวิตเขาได้ทำงานเป็นบรรณาธิการแผนกวรรณกรรมให้กับสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ
จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 61 ปี ด้วยโรคมะเร็ง
ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ไม่เคยได้เป็นผู้ปกครองสิ่งใดเลย
แม้แต่ตัวของตัวเอง เริ่มต้นด้วยการเป็นฮ่องเต้อยู่ในพระราชวังต้องห้าม
เป็นเพียงสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ มีเพียงชีวิตสามัญชนช่วงหนึ่งของชีวิตที่ดูจะมีความสุขในระยะเวลาสั้น
เมื่อขึ้นครองราชย์ที่แมนจูกัวกลับยิ่งมีแต่ความหลอกลวงจากคนรอบข้าง
และคืนสู่สามัญอย่างยากที่จะมีผู้ใดเสมอเหมือน
เป็นฮ่องเต้องค์เดียวในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีจุดจบโดยการนองเลือด เพราะไม่มีใครสู้เพื่อพระองค์ทรงสามารถใช้ชีวิตสามัญชนได้อย่างเรียบง่าย
และสง่างามตราบจนวาระสุดท้าย
ฮ่องเต้ปูยี
ห้องที่ 20 ห้องยุคสาธารณรัฐ
สู่ยุคปล่อยเท้าตัดเปีย
ชาวจีนในอดีตผู้หญิงนิยมมัดเท้าตามแบบอย่างสตรีชั้นสูงในราชสำนัก โดยมีจุดเริ่มต้นจากความโปรดปรานของฮ่องเต้สมัยราชวงศ์ถัง
และแพร่หลายในหมู่ลูกสาวขุนนาง
ในที่สุดก็ลามมาถึงประชาชนเป็นที่นิยมมายาวนานนับเป็นพันปี
อย่างไรก็ตามราชสำนักแมนจู หรือราชวงศ์ชิงไม่มีค่านิยมในเรื่องนี้เช่นนี้
ส่วนใหญ่สตรีที่รัดเท้ามักจะเป็นชาวฮั่น แต่ก็มีบ้างที่หญิงแมนจูแอบทำตามชาวฮั่น
แม้ว่าจักรพรรดิแมนจูจะสั่งห้ามก็ตาม
ส่วนการไว้เปียเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการปกครองโดยราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นชาวแมนจู
ชาวแมนจูโกนผมครึ่งศีรษะ และไว้เปียยาว
ผู้ที่ตัดเปียออกจึงเป็นผู้ที่ต่อต้านราชวงศ์ชิง เมื่อจีนเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐชาวจีนจึงตัดเปียออกทั้งหมด
ไม่เว้นแม้แต่ฮ่องเต้ปูยีซึ่งทรงตัดเปียออกด้วยพระองค์เองเมื่อครั้งที่ยังประทับอยู่ในพระราชวังต้องห้าม
เพราะเบื่อการเป็นหุ่นเชิดของกรมวัง
การรัดเท้า
และไว้เปียของชาวจีนสมัยเก่า
การการตัดเปีย และการปล่อยเท้าของชาวจีนยุคใหม่
ห้องถัดไปมีรูปปั้น
ดร.ซุนยัดเซ็น ซึ่งเป็นผู้เปลี่ยนแปลงประเทศจีนจากระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์คนหนึ่งที่นำพาประเทศจีนให้ก้าวมาถึงวันนี้
ด้วยความอุตสาหะตั้งแต่ยังหนุ่มของ ดร. ซุนยัดเซ็น เขาทำงานเพื่อการล้มราชวงศ์ชิงโดยอาศัยความร่วมมือจากชาวจีนทั้งใน
และนอกประเทศ เช่น ชาวจีนในประเทศไทยก็ให้ความร่วมมือในการดำเนินการครั้งนั้นด้วย
โดยการรวบรวมเงินช่วยเหลือ ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็เฝ้าดูอยู่ด้วยความระมัดระวัง
เพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน เมื่อการล้มล้างระบอบการปกครองเป็นผลสำเร็จ
ดร. ซุนยัดเซ็น ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของจีน
และเป็นสัญลักษณ์ทางการเมื่อระบอบใหม่มาจนกระทั่งปัจจุบัน
ซุนยัดเซ็น
ห้องที่ 21 ห้องชาวจีนในประเทศสยาม
ห้องสุดท้ายคือชาวจีนในสยาม
ในห้องประดับด้วยแถบผ้าสีแดงปล่อยยาวลงมาจากเพดานจำนวนมาก
บนผ้าเขียนตัวหนังสือเป็นแซ่ต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน โดยมีที่มา
และความหมายของแต่ละแซ่อยู่ที่ด้านบน ชาวจีนมีแซ่ซ้ำกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากคนในหมู่บ้านเดียวกันมักจะใช้แซ่เดียวกันทั้งหมด
ถ้าเปรียบเทียบกับนามสกุลแล้วประเทศไทยมีความหลากหลายในการแบ่งแยกกว่าประเทศจีนมาก
พวกเราช่วยกันหา “แซ่เฉิน”
ซึ่งเป็นแซ่ของต้นตระกูลของเรา ออกเสียงแบบแต้จิ๋วว่าแซ่ตั๊ง หรือ แซ่ตั้ง
และแบบไหหลำว่าแซ่ด่าน
เป็นแซ่ของขุนศรีอุทัยเขตร (โป๊ง สัตย์อุดม) บิดาของขุนศรีอุทัยเขตรมีชื่อว่า
กุ๋ยตง แซ่ตั๊ง กระต่ายเคยได้ยินทวดออกเสียงว่าแซ๊ตั๊ง
ไม่ได้ออกเสียงว่าแซ่ตั้ง
กระต่ายไม่แน่ใจว่าเป็นสำเนียงระยองหรือว่าเป็นสำเนียงของชาวไหหลำ
รู้แต่ว่าคำภาษาจีนที่เรามักใช้กันที่บ้านส่วนใหญ่สำเนียงแปลกกว่าบ้านอื่น เช่น
เฮีย ออกเสียว่าเฮี๊ยะ ขนมกุ๋ยช่าย เรียกขนมก๊วย เป็นต้น
ห้องรวมแซ่
แซ่ของเราคือ
“เฉิน”
เมื่อชมครบทุกห้องแล้วเราก็พากันเดินออกมาข้างนอก
ซึ่งมีร้านขายสินค้าที่ระลึกอยู่หลายร้าน ระหว่างที่รอแม่เข้าห้องน้ำกระต่ายก็ไปเดินเล่นทัศนานิดหน่อย
แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย พอแม่ออกมาเราจึงเดินออกไปด้านนอกสมทบกับพ่อซึ่งออกไปรออยู่แล้ว
ผ่านฝาผนังที่แกะสลักลวดลายสวยงามริมทางเดิน
ควรแก่การหยุดชื่นชมอย่างพินิจพิเคราะห์ให้สมกับที่ช่างบรรจงตกแต่งไว้อย่างตั้งใจ
ร้านจำหน่ายของที่ระลึก
ชมผนังริมทางเดินด้านนอก
ออกมาจากพิพิธภัณฑ์เราเดินชมหมู่บ้านมังกรสวรรค์กันต่อ
แม้จะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่ยังมีนักท่องเที่ยวเดินชมอยู่จำนวนไม่น้อย
ร้านค้าบางร้านก็ยังเปิดทำการกันอยู่
โดยเฉพาะร้านขายอาหารหลายแห่งที่มีลูกค้าอุดหนุนอย่างคับคั่ง
หอชมวิว
เซเว่นสาขานี้สวยมาก
สำเพ็งก็มีค่ะ
ทางเดินตรงกลาง
ร้านกาแฟอเมซอนแบบจีนๆ
ออกจากอุทยานมังกรเราตัดสินใจแวะไหว้พระที่วัดป่าเลไลย์ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
วัดป่าเลไลย์เป็นวัดหลวงชั้นตรีมีชื่อเต็มๆ ว่าวัดป่าเลไลย์วรวิหาร
ที่วัดมีลานจอดรถกว้างอยู่หน้าสนามโรงเรียนวัดป่าเลไลย์ ริมถนนหน้าวิหารก็ยังมีของขายคับคั่งทั้งที่ค่อนข้างเย็นมากแล้ว
ถ้าเทียบกับวัดหลวงพ่อโสธรที่จังหวัดฉะเชิงเทราเวลาอย่างนี้จะค่อนข้างว่างคนแล้ว
เราจุดธูปเทียนบูชาพระกันที่หน้าวิหาร
แล้วจึงเข้าไปด้านในเพื่อกราบพระพุทธรูปปางปาลิไลย์ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหาร
เป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทององค์ใหญ่ประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ขวาวางหงายบนพระเพลา
พระหัตถ์ซ้ายคว่ำบนพระชานุ
เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับในป่ารักขิตวันเพื่อปลีกวิเวกจากการวิวาทของสงฆ์โดยมีช้าง
และลิง เป็นผู้คอยอุปัฏฐากในป่าใหญ่
พระพุทธรูปปางนี้จะมีช้างใช้งวงจับกระบอกไม้ไผ่ และลิงถือรวงผึ้งถวายแด่พระพุทธเจ้า
แต่ในที่นี้วิหารสร้างชิดองค์พระมาก ถึงขนาดด้านซ้ายติดกับองค์พระจนชิด
และพื้นที่ในวิหารก็มีน้อย ดังนั้นจึงมีเพียงภาพวาดลิง
และช้างที่ด้านข้างผนังซ้ายขวาเท่านั้น ส่วนรูปปั้นลิง
และช้างอยู่ด้านนอกวิหารแทนที่จะอยู่ด้านใน
พระพุทธรูปปางปาลิไลย์
ช้าง
และลิงด้านนอกวิหาร
เมื่อแหงนมองหน้าจั่วของวิหารจะเห็นตราพระลัญจกรมหามงกุฎซึ่งเป็นตราประจำรัชกาลที่
4 เนื่องจากทรงเคยเสด็จธุดงค์มาที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่ยังทรงผนวช
และเมื่อขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์บูรณปฏิสังขรณ์
ทำให้กระต่ายนึกถึงเรื่องเล่าที่ว่าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยมีประสงค์จะเสด็จจังหวัดสุพรรณบุรี
แต่มีผู้คัดค้านว่า “ห้ามเจ้าไปสุพรรณ จะทำให้มีอันเป็นไป”
แต่ในที่สุดก็เสด็จไปจนได้แม้ว่าทนทางจะลำบากเนื่องจากเสด็จมาทางเมืองเพชรบุรี เมื่อเสด็จไปถึงปรากฏว่าพระยาสุพรรณบุรีมาหนีหายไปเสียก่อน
สาเหตุเพราะคอรัปชั่นเอาไว้มากจึงหนีความผิด
มีคนมาฟ้องร้องกับกรมพระยาดำรงฯ กันมากมาย
ตามประวัติของวัดป่าเลไลย์กล่าวว่ารัชกาลที่
4 เคยเสด็จธุดงค์มาที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่ยังทรงเป็นภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ
แสดงว่าคงจะไม่ทรงเชื่อถือคำกล่าวที่ว่าห้ามเจ้าไปสุพรรณ
หรืออาจเชื่ออีกทางหนึ่งว่าคำกล่าวนี้เกิดขึ้นหลังสมัยของพระองค์
เพราะกรมพระยาดำรงฯ ทรงเป็นโอรสในรัชกาลที่ 4 และที่ไม่ต้องการให้เจ้าเสด็จสุพรรณบุรีก็คงเพราะว่ามีคอรัปชั่นนั่นเอง
ตราพระลัญจกรมหามงกุฏ
ออกจากวัดป่าเลไลย์ตามโปรแกรมที่วางไว้กระต่ายคิดว่าจะชวนครอบครัวของเราไปทานอาหารริมแม่น้ำ
แต่เนื่องจากบ้านงานที่เราไปกันเมื่อเช้าเชื้อเชิญให้ไปงานเลี้ยงช่วงค่ำอีกครั้ง
เราจึงมุ่งหน้าสู่อำเภอบางปลาม้ากันอีกรอบ
ขณะนั้นเริ่มพลบค่ำแล้วอากาศจึงเริ่มเย็นขึ้นอีก
ปีนี้เป็นปีที่มีหน้าหนาวยาวนานกว่าปีอื่นๆ เป็นครั้งแรกในรอบ 20 กว่าปี
ดังนั้นเราจึงเตรียมเสื้อผ้าอุ่นๆ กับมาพอสมควร
ที่บ้านงานมีการตั้งเวทีไว้ตั้งแต่ช่วงเช้า
แม้จะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัว แต่ก็มีการว่าจ้างวงดนตรี
และหางเครื่องอย่างครบครัน ลูกหลานบ้านนี้ดูจะมีสายเลือดศิลปินกันแทบทุกคน เพราะร่วมแจมกับวงดนตรี
ทั้งเป็นพิธีกร ร้องเพลง เด็กเล็กๆ ก็ขึ้นเวทีเต้นเป็นหางเครื่องรับทรัพย์จากบรรดาญาติมิตรจนกระเป๋าตุงไปตามๆ
กัน
การแสดงบนเวทีที่บ้านงาน
นักร้องเสียงดีน้องภูมิลูกชายเจ้าของบ้าน
อาหารโต๊ะจีนในงานเลี้ยงวันนี้ก็อร่อยเป็นพิเศษกว่าโต๊ะจีนทั่วไป
และที่ดีเป็นพิเศษก็คือทุกอย่างนิ่มเหมาะกับแม่ซึ่งช่วงนี้ฟันไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นักมักมีปัญหาให้การขบเคี้ยวอยู่บ่อยครั้ง
เราร่วมสนุกในงานเลี้ยงจนได้เวลาอันสมควรจึงลาเจ้าภาพเพื่อกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม
ซึ่งเมื่อไปถึงกระต่ายก็เริ่มเห็นนักกีฬาเดินเข้าออกโรงแรมอยู่บ้างประปราย
เพราะวันรุ่งขึ้นจะมีพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ห้องที่กระต่ายพักหมายเลข
6041 เป็นห้องที่อยู่ริมสุดดังนั้นจึงมีหน้าต่าง 2 ด้าน และที่พิเศษอีกอย่างหนึ่ง
คือมองเห็นหอคอยบรรหารแจ่มใสที่เปิดไฟสวยงามยามค่ำคืน
ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูห้องนอน เป็นไก่โต้งนั่นเองที่มาเคาะเรียก
ในมือมีซองสีขาวถือมาด้วย 2 ซอง กับนาฬิกาพก 1 เรือน
เนื่องจากในช่วงปีใหม่ไก่โต้งเดินทางไปเที่ยวฮ่องกง
ดังนั้นจึงยังไม่ได้สวัสดีปีใหม่พ่อกับแม่อย่างเป็นทางการจึงใช้โอกาสนี้
ทำเซอร์ไพรส์เล็กๆ ด้วยการเตรียมของขวัญไว้ให้ ในซองมีเงินสดจำนวนหนึ่งเท่าๆ
กันทั้ง 2 ซอง ของแม่พิเศษกว่าตรงที่ได้นาฬิกาพกด้วย อันที่จริงเงิน
และของไม่ได้มีค่าต่อจิตใจมากไปกว่าการให้ด้วยความรัก
แม่กับพ่อจึงให้เงินสดจำนวนหนึ่งแก่ไก่โต้งเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ด้วยเช่นกัน
ไก่โต้งบอกทีหลังว่าลงไปที่รถอีกครั้งเพื่อนำของมาให้พ่อกับแม่
แต่ขึ้นลิฟท์ไม่ได้เพราะมีนักกีฬานับร้อยคนกำลังรอลิฟท์อยู่
ดังนั้นจึงต้องออกกำลังกายยามค่ำเดินขึ้นบันได 6 ชั้นกลับขึ้นมา นานแล้วที่ครอบครัวของเราไม่ได้มาเที่ยวกันอย่างนี้
แม้ว่ากระต่ายจะชอบอยู่กับที่มากกว่าที่จะไปโน่นมานี่บ่อยๆ
แต่การที่ได้อยู่ที่ไหนก็ได้สักแห่งที่มีเรา 5 คน อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวเท่านี้ก็เป็นความสุขใจอย่างยิ่งแล้ว
กระต่ายสอดตัวใต้ผ้าห่มอุ่น ปล่อยใจล่องลอยคิดถึงตลาดร้อยปีสามชุกที่จะไปในวันพรุ่งนี้จนหลับไป
5
ม.ค. 2557
เช้าวันใหม่คนที่ตื่นก่อนใครก็คือแม่
ซึ่งลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวก่อนใครๆ ประหนึ่งเป็นโค้ชจะคุมนักกีฬาทีมชาติไปซ้อมวิ่ง กระต่ายกับพ่อซึ่งพักห้องเดียวกันจึงเตรียมตัวเพื่อที่จะลงไปทานอาหารพร้อมกัน
3 คน ก่อนไก่โต้งและการ์ตูนจะตามมาสมทบภายหลัง
เมื่ออิ่มกันเรียบร้อยดีแล้ว เราก็ไปเช็คเอาท์ที่เคาท์เตอร์โรงแรม
เตรียมออกเดินทางมุ่งสู่ตลาดร้อยปีสามชุกกันทันที
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นจากอำเภอเมืองสุพรรณบุรี
ผ่านอำเภอศรีมหาโพธิ์ และอำเภอครีประจันต์ เราก็มาถึงตลาดร้อยปี อำเภอสามชุก ที่ลานจอดรถยังมีที่ว่างมากมายให้เราเลือกจอดรถได้ใกล้ๆ
กับทางเข้าตลาด
พร้อมออกเดินทาง
ยิ้มสดใสที่หน้าตลาดสามชุก
วันนี้แม่แขวนนาฬิกาพกที่ไก่โต้งให้
เจตนาที่จะให้ไก่โต้งภูมิใจ และแม่ก็ชอบนาฬิกามากจริงๆ เราเข้าไปเดินเตร็ดเตร่กันในส่วนของตลาดสามชุก
ซึ่งยังจัดเตรียมของขายกันไม่เรียบร้อยเพราะยังเช้าอยู่มาก เราจึงเดินเลยไปที่ตลาดสดยามเช้าซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าไรนัก
ได้ซื้อขนมครก และของกินของฝากหลายอย่าง เพราะนอกจากรสชาติจะดีแล้วยังราคาสมเหตุสมผลอีกด้วย
จนไก่โต้งกับการ์ตูนต้องนำของไปใส่รถกันก่อนหนึ่งรอบ
ตลาดร้อยปีสามชุกนับว่าเป็นตลาดที่กว้างใหญ่มากกว่าตลาดโบราณแห่งอื่นๆ
ที่กระต่ายเคยไป ทั้งๆ ที่ใหญ่แต่กลับมีระเบียบ และให้ความรู้สึกเป็นกันเอง
แม่ต่อรองราคาของแทบทุกร้านที่เราเข้าไปซื้อ
และก็ได้รับส่วนลดทุกร้านที่ต่อเสียด้วย
ไม่ว่าจะลดได้มากหรือน้อยคนขายก็ยินดีลดราคาให้อยู่เสมอ กระต่ายก็ไม่รู้ว่าแม่ต่อเก่งหรือคนขายใจดีกันแน่
บะจ่างร้อนๆ
สาโทก็มีค่ะ
กระต่ายได้ของถูกใจมากอย่างหนึ่งที่ตลาดแห่งนี้
คือตระกร้าใส่ของตามปกติกระต่ายมักมีตระกร้าใส่อาหาร และของจิปาถะถือมาที่ทำงานด้วยเสมอ
เป็นตระกร้าหวายที่มีหูหิ้วโค้งดังนั้นเวลาจัดของชิ้นใหญ่ๆ
ลงไปจึงมักจะใส่ไม่สะดวกเนื่องจากต้องเอียงของชิ้นนั้นเสียก่อนเสมอ
แม่เคยมีตระกร้าหวายที่มีหูพับได้อยู่ใบหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แต่ปัจจุบันกระต่ายก็ไม่เคยเห็นตระกร้าแบบนั้นอีก
จนเมื่อไม่นานมานี้ได้เห็นอีกครั้งในห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งติดราคาขายไว้ถึง
800 บาท ปรากฏว่าที่มาพบในวันนี้ติดราคาไว้เพียง 260 บาทเท่านั้น
ดังนั้นกระต่ายจึงควักกระเป๋าจ่ายอย่างสบายใจ แถมคนขายยังลดราคาให้อีกเหลือเพียง
250 บาทอีกด้วย และยังยุว่าควรจะซื้อใบใหญ่ๆ โดยบอกว่า
“เตี่ยสอนไว้ว่าซื้ออะไรให้ซื้อใหญ่ๆ” กระต่ายคิดว่ามันก็จริงสำหรับบางอย่าง
ตระกร้าร้านนี้มี 3 ขนาด ใบที่เล็กที่สุดน่าเอ็นดูมาก แต่คงใส่ของได้น้อยเกินไป
ส่วนใบใหญ่ใส่ของได้มากก็จริงอยู่แต่น่าจะเกะกะ และเกินความน่าเอ็นดูไปหน่อย
ดังนั้นจึงเลือกที่จะซื้อเพียงขนาดกลางมา 1 ใบ
ตระกร้าแบบนี้ที่หามานาน
แผนที่ตลาดร้อยปีสามชุก
http://www.paiduaykan.com
เดินกันพอเหนื่อยเราก็มานั่งพักกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
นั่งดูดชามะนาว มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา เพราะเวลานี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวมากันมากแล้ว
จู่ๆ การ์ตูนก็ถามขึ้นมาว่า “กินข้าวขาหมูกันไหม?” กระต่ายก็รู้สึกสงสัยเพราะเราเพิ่งกินอาหารกันไปหลายอย่างจนอิ่ม
ปรากฏว่าที่ร้านมีป้ายเก่าเขียนว่าข้าวขาหมูจานละ 2 บาท อันที่จริงร้านนี้ไม่มีข้าวขาหมูขายแต่ในอดีตคงจะเคยขายมาก่อน
สมัยที่กระต่ายยังเด็กจำได้ว่าก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาทเท่านั้น เมื่อ 20 กว่า ปีที่แล้ว ปัจจุบันชามขนาดเดิมราคาก็ราวๆ
30-35 บาท
กาแฟโบราณ
ร้านกาแฟที่ตลาดสามชุกมีอยู่ด้วยกันหลายร้าน
ซอยแรกด้านหน้าตลาดก็เป็นร้านใหญ่อยู่ตรงหัวมุมถนนเลียบนที มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะลักษณะเป็นคนท้องถิ่นที่ตั้งสภากาแฟยามเช้า
สภากาแฟสามชุก
ร้านอาหารที่ดูจะสะดุดตามากๆ
คือร้านก๋วยเตี๋ยวที่เรียงรายอยู่เต็มซอย
ที่ว่าสะดุดตาก็เพราะแทบทุกร้านมีลูกชิ้นขนาดยักษ์โชว์ไว้หน้าร้าน และไม่ใช่แต่โชว์เฉยๆ
เขาขายกันด้วย มีทั้งขนาดธรรมดา และที่ใหญ่เท่าหัวคน
กระต่ายเห็นแล้วอิ่มตั้งแต่ยังไม่ได้กินเลยทีเดียว
เราเดินผ่านบ้านโค้กซึ่งข้างในมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโค้กโชว์อยู่มากมาย
ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน น่าจะเรียกว่าพิพิธภัณฑ์โค้กก็เห็นจะไม่ผิด
บิ๊กบอล
บ้านโค้ก
ใกล้กับบ้านโค้กคือพิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ซึ่งเป็นนายภาษีอากรคนแรกของอำเภอสามชุก
และท่านเป็นผู้จัดสรรพื้นที่ตลาดให้กับชาวสามชุกทำมาหากินกันมาได้จนถึงปัจจุบันนี้อีกด้วย
กระต่ายคิดว่าท่านคงจะเป็นนักธุรกิจหัวก้าวหน้ามากทีเดียวในสมัยนั้น
เพราะตลาดสามชุกที่มาเห็นในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดแนวยาวขนานไปกับริมแม่น้ำเหมือนกับตลาดโบราณอื่นๆ
แต่เป็นจัดล็อกเป็นระเบียบราวกับห้างสรรพสินค้า ร้านค้าแต่ละร้านก็ค่อนข้างจะอยู่ในสภาพดีแม้ว่าจะอยู่มานานถึงร้อยปีแล้ว
และมองดูสะอาดตา ยิ่งบวกกับอากาศที่เย็นสบายอย่างวันนี้ด้วย กระต่ายจึงรู้สึกว่ารื่นรมย์เป็นพิเศษ
เราเข้ามาเยี่ยมชมบ้านขุนจำนงจีนารักษ์
ซึ่งกว้าง 3 คูหา ชั้นล่างจัดแสดงโมเดลตลาดสามชุก และรูปภาพเก่าๆ
แขวนไว้เต็มฝาผนัง ที่สำคัญคือมีตู้เย็นโบราณตั้งอยู่ใบหนึ่ง
กระต่ายคาดว่าคงจะเป็นตู้เย็นใบแรกของอำเภอสามชุกอย่างแน่นอน มัคคุเทศก์นำเราชมบ้านอย่างเป็นกันเอง
ซึ่งสาระสำคัญส่วนมากจะอยู่ที่ชั้นบนของบ้าน
พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์
โมเดลตลาดสามชุก
ใกล้เข้ามาอีกนิด
ตู้เย็นโบราณ
ชั้นบนบ้านของขุนจำนงฯ
ปูด้วยกระเบื้องที่สั่งมาจากอิตาลี สภาพที่เห็นยังค่อนข้างดีมาก
ภายในบ้านยังมีข้าวของเครื่องใช้อยู่อย่างครบถ้วน และมีลักษณะเป็นเหมือนบ้านจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ทำไว้เพื่อโชว์
กระต่ายคิดว่าน่าจะใช้ถุงหุ้มรองเท้าเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกรที่เราไปเที่ยวชมเมื่อวานนี้
เพื่อไม่ให้พื้นสกปรกเสียหาย
บนผนังมีรูปภาพมากมายซึ่งใช้ภาพเก่าทั้งสิ้น
ไม่ใช่เพียงแค่อัดภาพมาประดับบ้านเท่านั้น มีภาพของท่านขุน และครอบครัว
รวมทั้งมีภาพบรรพบุรุษของท่านขุนเป็นชาวจีนไว้เปียยาว ปัจจุบันบ้านหลังนี้เป็นของหลานสาวของขุนจำนงฯ
แต่เวลานี้เธออายุมากแล้วจึงย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ
กระต่ายเดาว่าท่านจะต้องเป็นผู้ที่รู้คุณค่า และให้ความสำคัญกับพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตแห่งนี้
ท่านใจดีมากที่ให้บุคคลทั่วไปเข้าชมบ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ต้องขอขอบพระคุณท่านมา
ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ขุนจำนงจีนารักษ์
ครอบครัวขุนจำนงจีนารักษ์
มัคคุเทศก์พาเข้าไปชมถึงในห้องนอนของขุนจำนงฯ
ซึ่งเป็นเตียงสี่เสาขนาดย่อมๆ
มีสวิตช์ไฟโบราณสำหรับเปิดไฟหัวเตียงที่ยังคงใช้การได้จริง ฝาห้องด้านที่ชิดกับเตียงมีปืนยาวแขวนอยู่กระบอกหนึ่ง
ไม่แน่ใจว่าแขวนไว้จริงเมื่อสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า และมีพัดลมโบราณตั้งไว้ตัวหนึ่งทางหัวเตียง
ท่านคงเป็นคนทันสมัยโก้เก๋ทีเดียวเพราะเป็นพัดลมชนิดสูงเสียด้วย
ไม่ใช่พัดลมตั้งโต๊ะอย่างธรรมดา
ระเบียงทางเดินส่วนหน้าของบ้านมีหน้าต่างเรียงเป็นแถวยาว
และเปิดหมดทุกบานจึงทำให้ภายในบ้านโปร่งน่าสบายทีเดียว
ห้องนอน
สวิตช์ไฟ
ระเบียงชั้นบนของบ้าน
โต๊ะเขียนหนังสือตั้งไว้ที่มุมหนึ่งของบ้าน
มองดูสงบสบายคงจะเป็นมุมที่ท่านขุนนั่งคิด หรือเขียนหนังสือเกี่ยวกับการงานของท่าน
บ้านของขุนจำนงฯ หลังนี้ กระต่ายคิดว่าเป็นบ้านที่น่าอยู่มากทีเดียว
ไม่ใหญ่โตรโหฐานจนเกินไปนัก เป็นบ้านหลังย่อมๆ ที่น่าจะอยู่สบาย
การจัดตกแต่งก็ดูมีรสนิยมสมกับเป็นบ้านคหบดี ทำให้กระต่ายนึกถึงบ้านสัตย์อุดม
ซึ่งเป็นบ้านของบรรพบุรษของกระต่ายซึ่งได้กล่าวไว้เบื้องต้นแล้วว่ามีบรรดาศักดิ์เป็นขุนเช่นกัน
ชื่อว่าขุนศรีอุทัยเขตร (โป๊ง สัตย์อุดม) ผู้เป็นต้นแซ่ตั๊งท่านเป็นทวดของแม่
และท่านเจ้าของคนปัจจุบันก็กรุณาให้ใช้บ้านสัตย์อุดมเป็นพิพิธภัณฑ์เช่นกัน
หลานสาวขุนจำนงฯ เจ้าของบ้านคนปัจจุบัน (ภาพในวัยสาว)
ส่วนหนึ่งของบ้านที่มีโต๊ะเขียนหนังสือ
เมื่อชมบ้านจนพอใจแล้วกระต่ายให้สตางค์ค่าขนมแก่มัคคุเทศก์น้อย
มัธยมปลายไปเล็กน้อย เป็นรางวัลที่นำชมบ้านอย่างตั้งใจ
เดินออกจากบ้านขุนจำนงฯ
มาได้ไม่นานก็พบว่ามีนักเรียนมาหารายได้ในวันหยุดอีก 1 คณะ
คราวนี้เป็นวงดนตรีไทยวงใหญ่ มีเครื่องดนตรีครบชิ้น
เมื่อเห็นเราหยุดถ่ายภาพเด็กน้อยก็เริ่มขับกล่อมเราด้วยเสียงเพลงทันที
โดยมีเสียงเอื้อนนำมาก่อนแล้วเครื่องดนตรีจึงเล่นตาม เรายืนฟังกันอยู่ครู่ใหญ่
แล้วแม่ก็หยอดสตางค์ลงในกล่องด้านหน้าเพื่อเป็นกำลังใจในการแสดง
วงดนตรีไทยวงใหญ่โดยคนตัวเล็ก
เราไม่ได้อยู่ฟังจนจบพอเริ่มมีคนมาฟังเพิ่มเราก็เลยเคลื่อนขบวนกันต่อไป
ป้ายต่อไปที่ขบวนของเราไปหยุดชมก็คือร้านขายโบว์มัดผม ซึ่งเป็นงานแฮนด์เมค
การ์ตูนสนใจเป็นพิเศษจึงอุดหนุนแล้วให้คนขายช่วยทดลองมัดผมให้ด้วย
พอพวกเรายืนมองก็มีคนมายืนมุงดูกันเต็มไปหมด การ์ตูนเลยกลายเป็นตัวอย่างให้กับผู้ที่สนใจจะทำผมทรงเดียวกัน
นางแบบผมคนสวย
ขณะที่กระต่ายกำลังยืนเลือกผ้าพันคอที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง
มีอะไรบางอย่างมาสะกิดที่ขาพอก้มลงมองก็พบว่ามีแมวอยู่ในกรงจำนวนหลายตัว
มันยื่นมือออกมาสะกิดเรียกร้องความสนใจ นอกกรงก็มีแมวอีก 2 ตัววิ่งเล่นไปมาน่าเอ็นดู
เจ้าของร้านบอกว่าให้เราเล่นกับมันได้ กระต่าย ไก่โต้ง
และการ์ตูนก็เลยอยู่เล่นกับแมวพักใหญ่ กระต่ายก็ได้อุดหนุนผ้าพันคอมาผืนหนึ่ง
นี่อาจจะเป็นวิธีการขายของที่ดีวิธีหนึ่งก็เป็นได้ ^_^
กลุ่มแมว
นี่ก็อีกหนึ่งตัว
การเดินทางครั้งนี้ทำให้เราได้เติมเต็มความรักความเข้าใจในครอบครัว ท่ามกลางมิตรภาพ และคุณค่าของสิ่งดีๆ ในจังหวัดที่ทุกคนควรได้ไปเยือนแห่งนี้ “สุพรรณบุรี เมืองที่ได้ไปแล้ว ก็ต้องไปอีก …”
สวัสดีค่ะ